ความชุกและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดระยะแรกในการคลอดทางช่องคลอด ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา

Prevalence and risk factors affecting early postpartum hemorrhage among vaginal delivery at Burapha University Hospital

Authors

  • จิรัสย์พล ไทยานันท์

Keywords:

การตกเลือดหลังคลอด, ความชุกและปัจจัยเสี่ยงของการตกเลือดหลังคลอดระยะแรก, การคลอดบุตรทางช่องคลอด, การฉีกขาดฝีเย็บในระยะคลอด, มดลูกหดรัดตัวไม่ดี, Postpartum hemorrhage, Prevalence and risk factors for early postpartum hemorrhage, Vaginal delivery, Genital tract laceration, Uterine atony

Abstract

บริบท ภาวะตกเลือดใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของมารดา ร้อยละ 27 ทั่วโลก ความชุกของไทย ปี พ.ศ.2552 ถึง 2558 พบร้อยละ 2.30, 2.37, 2.44, 2.40, 2.39, 2.54 และ 2.65 โดยมีแนวโน้มสูงขึ้น ตามลำดับการศึกษาความชุก ปัจจัยเสี่ยงของภาวะตกเลือดหลัง คลอดทางช่องคลอดยังมีผลวิจัยที่แตกต่างตามภูมิภาคของไทย และผลการวิจัยใช้เป็นแนวทางการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มาคลอดบุตรได้ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความชุก ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดทางช่องคลอดภายใน 24 ชั่วโมงแรกของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา และปัจจัยที่สัมพันธ์กับปริมาณการตกเลือดหลังคลอดระยะแรก วิธีดำเนินการวิจัย การศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ.2558 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2563 ประชากร คือ สตรีตั้งครรภ์ทุกรายที่มาคลอดที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา 2,569 คนกลุ่มตัวอย่าง ใช้เกณฑ์คัดเข้า 1) คลอดบุตรทางช่องคลอด 2) ปริมาณเสียเลือดมากกว่า 500 มิลลิเมตรภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด ได้กลุ่มตัวอย่าง 94 คน ใช้แบบบันทึกข้อมูลที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์โดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย วิเคราะห์ ความสัมพันธ์ โดยการทดสอบ Chi-Square ผลการวิจัย พบความชุกของการตกเลือดภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการคลอดทางช่องคลอด ร้อยละ 6.14 ปริมาณ ตกเลือดระดับเล็กน้อย ร้อยละ 4.51 ตกเลือดระดับรุนแรง ร้อยละ 1.63 สาเหตุหลักคือการฉีกขาดของช่องทางคลอด ร้อยละ 47.9 รองลงมาคือ มดลูกหดรัดตัวไม่ดี ร้อยละ 21.3 ปัจจัยลักษณะทั่วไป พบว่า อายุ สัมพันธ์กับปริมาณการตกเลือดหลังคลอด (p < .05) ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการตกเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ p < .01 คือ ระยะของการคลอดผิดปกติ สรุป ความชุกของการตกเลือดภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการคลอดทางช่องคลอดที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา มีความชุกสูงกว่าที่พบในระดับประเทศ สาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากการฉีกขาดของช่องทางคลอด และภาวะมดลูกหดรัดตัวไม่ดี ปัจจัยที่สัมพันธ์กับปริมาณการตกเลือดหลังคลอดในระยะแรก ได้แก่ อายุ ระยะเวลาที่ใช้ในการคลอด และสาเหตุของการตกเลือด นำไปสู่การพัฒนาแนวทางปฏิบัติในการดูแลเพื่อป้องกันการตกเลือด หลังคลอดในระยะแรกและลดอัตราการเสียชีวิตของมารดาได้  Context: Early postpartum hemorrhage is the leading cause of maternal deaths, accounting for 27% of all maternal deaths worldwide. The prevalence of deaths from early postpartum hemorrhage in Thailand during 2009-2015 was 2.30%, 2.37%, 2.44%, 2.40%, 2.39%, 2.54% and 2.65%, respectively. Prevalence studies and risk factors for vaginal postpartum hemorrhage vary across regions in Thailand and the results of the research can be used as a guideline for caring for pregnant women. Objective: To study the prevalence, risk factors and causes of early postpartum hemorrhage within the first 24 hours among vaginal deliveries at Burapha University Hospital, as well as to identify factors related to the among of early postpartum hemorrhage. Materials and methods: A retrospective descriptive study was conducted between January 1, 2015 and December 31, 2020. The population comprised of all 2,569 pregnant women who gave birth at Burapha University Hospital. The following inclusion criteria 1) vaginal delivery, and 2) blood loss ≥ 500 ml. within 24 hours after delivery, thus 94 participants were included in the study. Results: The prevalence of early postpartum hemorrhage among vaginal deliveries was 6.14%, of minor postpartum hemorrhage was 4.51%, and of major postpartum hemorrhage was 1.63%. The principle causes of hemorrhage were vaginal laceration (47.9%), and uterine atony (21.3%). Factors associated with increased risk for postpartum hemorrhage were age (p < .05). and prolonged stage of intrapartum (p < .01). Conclusion: The prevalence of early postpartum hemorrhage among women who had vaginal birth at Burapha University Hospital, was higher than that reported nationally. The most common causes of postpartum hemorrhage were genital tract laceration and uterine atony. Factors associated with the amount of early postpartum hemorrhage were age, duration of intrapartum period and cause of hemorrhage. The findings would inform the development of care practices to prevent early postpartum hemorrhage in order to reduce maternal mortality.

References

Cunningham, F., Leveno, K., Bloom, S., Rouse, D. & Spong C.. William Obstetrics. 24th ed. New York : McGraw-Hill, 2014.

Belfort MA, Lockwood CJ, Levine D, Barss VA. Overview of postpartum hemorrhage [Internet]. 2022 [accessed July 15, 2022]. Available from Available from: https://www.uptodate.com/ contents/overview-of-postpartumhemorrhage?search=overview-ofpostpartum-hemorrhage. &source=search_result&selectedTitle=1~150&usage_type=default&display_rank=1

World Health Organization, UNICEF, United Nations Population Fund and The World Bank. Trends in maternal mortality: 2000 to 2017. [Internet]. 2019 [accessed July 17, 2022]. Available from: https://data.unicef. org/topic/maternal-health/maternalmortality/

Khan KS, Wojdyla D, SayL, G¨ulmezoglu AM, VanLookPF. WHO analysis of causes of maternal death: a systematic review. Lancet. 2006; 367: 1066–74.

กลุ่มอนามัยแม่และเด็ก สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. อัตราส่วน การตายมารดา. กรุงเทพฯ: กลุ่มอนามัยแม่และเด็ก สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข [อินเทอร์เน็ต]. 2563 [เข้าถึงเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2565]. เข้าถึงได้ จาก: https://hp.anamai.moph.go.th/th/ maternal-mortality-ratio/download?id=79052&mid=30954&mkey=m_document&lang=th&did=24018

Anderson JM, Etches D. Prevention and management of postpartum hemorrhage. Am Fam Physician. 2007; 75: 875-82.

นฏกร อิตุพร, ฐิติมา นุตราวงศ์, อมรรัตน์ รัตนสิริ, กุลฑลี บุญประเสริฐม, สุภาภรณ์ ฉัตรชัยวิวัฒนา, ทัศนีย์ ณ พิกุล. ปัจจัยเสี่ยงต่อการตกเลือด หลังคลอดจากการคลอดทางช่องคลอด: การทบทวนวรรณกรรมและวิเคราะห์อภิมาน. เชียงรายเวชสาร. 2551; 10: 149-60.

RCOG. Prevention and Management of Postpartum Haemorrhage. Green-top Guideline No. 52. BJOG: An International Journal of Obstetrics & Gynaecology. 2017; 124: e106-e149.

Ameh C, Althabe F. Improving postpartum hemorrhage care: Policy, practice, and research. Int J Gynaecol Obstet. 2022; 158: 4-5.

Mvandal S., Kindimba C. Prevalence, causes and associated factors for postpartum haemorrhage (Pph) at St. Joseph Referral Hospital Peramiho-Songea, Tanzania; a hospital-based retrospective cross-sectional study. Preprints 2021, 2021090417.

Calvert C, Thomas SL, Ronsmans C, Wagner KS, Adler AJ, Filippi V. Identifying regional variation in the prevalence of postpartum haemorrhage: a systematic review and meta-analysis. PLoS One. 2012; 7: e41114.

RCOG. Management of third and fourth degree perineal tears. Green-top guideline no. 29. [Internet]. 2007 [accessed September 20, 2022]. Available from: http://www.rcog.org.uk/files/ rcog-corp/GTG2911022011.pdf

AbouZahr C. Global burden of maternal death and disability. Br Med Bull. 2003; 67: 1–11.

บุษยรัตน์ วงศ์วิริยะเวช, ณัฏฐพร จันทร์แสนโรจน์ และชุติมา เทียนชัยทัศน์. การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตกเลือดหลังคลอดระยะแรก โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี. 2561; 1: 39-47.

ศิริวรรณ วิเลิศ ทิพวรรณ์ เอี่ยมเจริญ และ ดรุณี ยอดรัก. สถานการณ์และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตกเลือดหลังคลอดในมารดาคลอดทางช่องคลอด ในหอผู้ป่วยสูติกรรมสามัญ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี. วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย. 2559; 9: 173-90.

Ononge S, Mirembe F, Wandabwa J, Campbell OM. Incidence and risk factors for postpartum hemorrhage in Uganda. Reprod Health. 2016; 13: 1-7.

Ngwenya S. Postpartum hemorrhage: incidence, risk factors, and outcomes in a low-resource setting. Int J Womens Health. 2016; 8: 647-50.

ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติ เรื่องการป้องกันและรักษาภาวะตกเลือดหลังคลอด (ฉบับสรุปคำแนะนำ). [อินเตอร์เน็ท]. 2558. [เข้าถึงเมื่อ 20 กันยายน 2565]; เข้าถึงได้จาก: http://www.rtcog.or.th/ home/wp-content/uploads/2022/05/OB63-020.pdf

สร้อย อนุสรณ์ธีรกุล และ สมจิตร เมืองพิล. การป้องกันการฉีกขาดฝีเย็บในระยะคลอด. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ. 2552; 32: 102-8.

Downloads

Published

2023-06-08