เปรียบเทียบความต้องการข้อมูลและการได้รับข้อมูลจริงของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยวิกฤตระยะสุดท้ายที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งในภาคตะวันออก

A Comparison of Information Needs and Information Received among Family Members of Critical and Terminally Ill Patients in Intensive Care Unit at a Regional Hospital in Eastern Region

Abstract

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความต้องการข้อมูลและการได้รับ ข้อมูลจริงของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยวิกฤตระยะสุดท้ายที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก กลุ่มตัวอย่างเป็นสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยวิกฤตระยะสุดท้ายที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักด้วยโรคทางอายุรกรรม และศัลยกรรม โรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งในภาคตะวันออก จํานวน 38 คน ทําการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย วิกฤตระยะสุดท้ายที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของสมาชิก ในครอบครัวผู้ป่วยวิกฤตระยะสุดท้ายที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก และแบบสอบถามความต้องการข้อมูลและการได้รับข้อมูลจริงของสมาชิกผู้ป่วยวิกฤตระยะสุดท้าย ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .94 และ .95 ตามลําดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (Dependent t-test)  ผลการศึกษาพบว่า ความต้องการข้อมูลและการได้รับข้อมูลจริง ของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยวิกฤตระยะสุดท้ายที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก มีความแตกต่างกัน ทั้งข้อมูลรายด้านและข้อมูลโดยรวม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยวิกฤตระยะสุดท้ายมีความต้องการข้อมูล มากกว่าการได้รับข้อมูลจริง ทั้งข้อมูลรายด้านและข้อมูลโดยรวม  ผลการศึกษาในครั้งนี้ สามารถนําไปใช้เป็นแนวทาง ในการให้ข้อมูลแก่สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยวิกฤตระยะสุดท้าย เพื่อช่วยให้สมาชิกในครอบครัวปรับตัว และเผชิญกับระยะสุดท้ายของชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม  The purpose of this comparative descriptive study was to compare information needs and information received among family members of critical and terminally ill patients admitted in Intensive Care Unit of one regional hospital in eastern region of Thailand. Thirty-eight family members were recruited into the study. Data were collected during May to December 2007. The instruments consisted of the Personal Data of Critical and Terminally Ill Patients and Family Members Questionnaire and the Information Needs and Information Received Questionnaire. The content validity was ascertained and the Cronbach's alpha coefficicients were .94 and .95, respectively. Data were analyzed using frequency, percentage, mean, standard deviation and dependent t-test.  The results showed that there was a significant difference between information needs and information received at the significant level of .05. In addition, the information need scores were higher than the information received scores.  In conclusion, the finding can be used as a guide to provide information to family members of critical and terminally ill patients in order to help them cope effectively with the end of life of their love ones.