ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการดูแลเด็กป่วยที่รับการรักษาในโรงพยาบาล
Factors Influencing Parent Participation in the Care of Hospitalized Children
Keywords:
การดูแลเด็ก, การดูแลผู้ป่วย, การดูแลผู้ป่วยเด็ก, การมีส่วนร่วมของบิดามารดาAbstract
การวิจัยครั้งนี้เป็นแบบบรรยายเชิงทำนาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการดูแลเด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ปกครองของเด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 1, 2 และ 4 โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรีคัดเลือกแบบบังเอิญ จำนวนทั้งหมด 127 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 และแบบสอบถามการสื่อสารระหว่างผู้ปกครองกับพยาบาลมีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ .86 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณา ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ประสบการณ์การดูแลเด็กป่วย ความรุนแรงของการเจ็บป่วยตามการรับรู้ของผู้ปกครอง และการสื่อสารระหว่างผู้ปกครองกับพยาบาลมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการดูแลเด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .166, p < .05, r = .166, p < .05 และ r = .273, p < .01 ตามลำดับ) อายุ และเพศของเด็กป่วย ระยะเวลาที่ผู้ปกครองดูแลเด็กป่วยในโรงพยาบาล และระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการดูแลเด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (p > .05) การสื่อสารระหว่างผู้ปกครองกับพยาบาลเป็นตัวทำนายที่ดีที่สุดและมีนัยสำคัญทางสถิติ และรองลงมาคือความรุนแรงของการเจ็บป่วยตามการรับรู้ของผู้ปกครอง ตัวแปรทั้งสองสามารถรร่วมกันทำนายการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการดูแลเด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ร้อยละ 10.7 (F = 7.427, p < .01) ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า พยาบาลที่ปฏิบัติการพยาบาลในหอผู้ป่วยเด็ก ควรส่งเสริมการสื่อสารระหว่างผู้ปกครองกับพยาบาล และส่งเสริมการรับรู้ความรุนแรงของเด็กป่วยในผู้ปกครองให้เป็นไปในทางบวกและเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการดูแลเด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น This descriptive predictive research aimed to determine factors influencing parent participation in the care of hospitalized children. Accidental sample included 127 parents of hospitalized children, who were admitted at wards of Kumarnwechakam 1, 2 and 4 in the Phrapokklao hospital, Chantaburi province. Research instruments composed of the demographic questionnaire, the Parent Participation’s scale, and the Parent-Nurse Communication’s scale. Internal consistency reliability of the two scales were .90 and .88, respectively, and the Content Validity Index (CVI) of the Parent-Nurse Communication’s Scale was .86. Data were analyzed by using descriptive statistics, Pearson correlation coefficients, and multiple regression analyses. Results revealed that parent’s experience in the care of hospitalized children, parent’s perception of severity of illness, and parent-nurse communication were significantly positive correlation with the parent participation in the care of hospitalized children (r = .166, p < .05, r = .166, p < .05 and r = .273, p <. 01, respectively). Age and sex of the hospitalized children, duration of caring for the children, and distance from home to hospital were not significantly correlated (p > .05). Parent-nurse communication was the best and significant predictor of the parent participation, and the second was parent’s perception of severity of illness. The two significant predictors were accounted for 10.7% of variance (F = 7.427, p < .01) in the prediction. These findings indicate that nurses who are giving nursing care for ill children in pediatric wards should promote both positive parent-nurse communication and appropriately positive perception of the parent on children‘s severity of illness. It will result in effective and appropriate participation for the parent participation in the care of hospitalized children.References
คำพวง ห่อทอง. (2548). การศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมส่งเสริมการเล่นของบิดามารดาและพฤติกรรมการปรับตัวของเด็กปฐมวัยในเขตกรุงเทพมหานครกับจังหวัดสุรินทร์. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
จารุณี ป้องพาล. (2548). ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการส่งเสริมการเล่นของบิดา และมารดากับพฤติกรรมการปรับตัวของเด็กปฐมวัย : ความแตกต่างระหว่างเพศ. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ณิชกานต์ ไชยชนะ. (2545). การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการดูแลเด็กที่มีความเจ็บป่วยเรื้อรังขณะรับการรักษาในโรงพยาบาล. วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ณัฏฐินี ปัณฑวังกูร. (2551). ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อระบบหายใจเฉียบพลันกับพฤติกรรมของมารดาในการดูแลบุตร. วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาจิตวิทยาการให้คำปรึกษา, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
American Academy of Pediatrics. (2003). Family-centered care and the pediatrician’s role. Pediatrics, 112(3), 691-696.
Ball, J.W., & Bindler, R.C. (2006). Child health nursing : Partnering with children & families. Uppes Saddle River, N.J. : Pearson Prentice Hall.
Curleg, M.A. (1988). Effects of the nursing mutual participation model of care on parental stress in the pediatric intensive care unit. Heart-Lung, 17(16), 682-688.
Garth, B., Murphy, G.C., & Reddihough, D.S. (2009). Perceptions of participation : Child patients with a disability in the doctor-parent-child partnership. Patient Education and Counseling, 74, 45-52.
Hockenberry, M.J. (2009). Clinical companion for Wong’s essentials of pediatric nursing (8th ed). St. Louis : Mosby.