Physiologic Measures of Kangaroo Versue Incubator Vare in a Tertiary-Level Nursery

ผลการวัดทางด้านกายภาพทารกที่เจ็บป่วย ที่ได้รับการดูแลด้วยวิธีแคงคารู และการดูแลในตู้อบ ในหน่วยทารกแรกเกิดระดับตติยภูมิ

Authors

  • มณีรัตน์ ภาคธูป

Keywords:

ทารกแรกเกิด, การดูแลในตู้อบ, วิธีแคงคารู, Kangaroo

Abstract

Objcetive : To determine the safety and feasibility of kangaroo care in a tertiary-level nursery as defined by apnea, bradycardia, and oxygen desaturation.  Design : Prospective, long-term, repeated measures with a convenience sample. Setting : A 20-bed, tertiary-level nursery with approximately 400 admissions a year. Participants : Eight mother-infant pairs.  Interventions : Researchers compared incubator care with kangaroo care for 4 hours a day, 6 days a week, for 3 weeks. Physiologic variables were monitored daily and recorded continuously on a polygraph for 8 hours each week.  Main outcome measures : Amount of apnea, bradycardia, and oxygen desaturation.  Secondary outcome measures : Heart rate, respiratory rate, percent sleep time, and skin temperature.  Results : Apnea, bradycardia, oxygen saturation, heart rate, and respiratory rate were similar during both kangaroo (K) and incubator (I) care. The infants experienced a lower percent (mean standard deviation, K versus I) of total sleep (47  15 versus 64  19, p <.003) during kangaroo care. The infants' mean  standard deviation temperature during the kangaroo care (36.5° C  0.64° C) was lower (p <.03) than that of the control periods before (36.8° C  0.27° C) or after (36.7° C  0.26° C) Percent sleep time and skin temperature were slightly lower during kangaroo acre, but the differences were not clinically significant. Conclusion : Kangaroo care is safe and feasible for selected mothers and infants in a tertiary-level nursery.  วัตถุประสงค์ : เพื่อต้องการศึกษาความปลอดภัยและความเหมาะสม ในการดูแลทารกด้วยวิธีแคงคารู ใน หน่วยทารกแรกเกิดระดับตติยภูมิ โดยสังเกตจากการ หยุดหายใจ การหายใจช้า และระดับความอิ่มตัวของ ออกซิเจน  แบบการวิจัย : เป็นการวิจัยประเภทมุ่งศึกษาไปข้างหน้า โดยเป็นการศึกษาระยะยาว และมีการวัดซ้ำใน กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง  สถานที่ทําการวิจัย : ในสถานพยาบาลที่มีเตียงรับทารกแรกเกิด ที่เจ็บป่วยในระดับตติยภูมิ จํานวน 20 เตียง และมีทารกที่เจ็บป่วยมารับการรักษา 400 คนต่อปี  กลุ่มตัวอย่าง : มารดาและทารก 8 คู่ กระบวนการวิจัย : ผู้วิจัยทําการเปรียบเทียบข้อมูล ทางด้านกายภาพของทารก ที่ได้รับการดูแลในตู้อบ และ ได้รับการดูแลด้วยวิธีแคงคารู 4 ชั่วโมงต่อวัน 6 วัน ต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 3 สัปดาห์ และวัดตัวแปรทางด้าน  กายภาพทุกวัน พร้อมทั้งบันทึก polygraph อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์  ตัวแปรที่วัด :  ตัวแปรหลัก : การเกิดภาวะหยุดหายใจ ภาวะหายใจช้า และระดับความอิ่มตัวของออกซิเจน ตัวแปรรอง : อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ ร้อยละของช่วงเวลาที่นอนหลับและค่าอุณหภูมิที่ผิวหนัง  ผลการวิจัย : พบว่าทารกช่วงที่ได้รับการดูแลด้วยวิธีแคงคารู มีภาวะการหยุดหายใจ ภาวะการหายใจช้า ระดับการอิ่มตัวของออกซิเจน การเต้นของหัวใจ และอัตราการหายใจ อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับที่ได้รับการดูแลในตู้อบ แต่พบว่าการดูแลด้วยวิธีแคงคารู จะทําให้ทารกมีช่วงเวลา ในการนอนหลับน้อยกว่าขณะที่ได้รับการดูแลในตู้อบ (47  15 VS 64  19, p <.003) และระดับอุณหภูมิของทารกที่ได้รับการดูแลแบบแคงคารู จะมีค่าต่ำกว่าอุณหภูมิของทารกในตู้อบ (36.8°  C  0.27) ทั้งในระยะที่เริ่มการดูแลด้วยวิธีแคงคารู (36.5° C  0.64° C) และเมื่อสิ้นสุดการดูแลด้วยวิธีแคงคารู (36.7° C   0.26° C) p <.03 ถึงแม้ว่าระยะเวลาในการนอนหลับและอุณหภูมิที่ผิวหนังทารกที่ได้รับการ ดูแลด้วยวิธีแคงคารู จะต่ำกว่าในช่วงที่ได้รับการดูแล ในตู้อบ แต่ก็ไม่มีความแตกต่างทางคลินิค อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ  สรุป : การดูแลทารกด้วยวิธีแคงคารู มีความปลอดภัย และเหมาะสม ที่จะเลือกใช้ในการดูแลมารดาและทารก ในหน่วยทารกแรกเกิดในระดับตติยภูมิ  ตัวแปรของ : อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการ

Downloads

Published

2022-06-09