วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing en-US วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 0858-4338 ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจการสื่อสารเรื่องเพศต่อการสื่อสารเรื่องเพศในผู้ปกครองของวัยรุ่นหญิง https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing/article/view/10096 <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อทัศนคติการสื่อสารเรื่องเพศ ความสะดวกใจในการสื่อสารเรื่องเพศ และการสื่อสารเรื่องเพศของผู้ปกครองของหญิงวัยรุ่นกลุ่มตัวอย่างคือผู้ปกครองเพศหญิงที่มิใช่บิดามารดา อายุ 35- 50 ปีที่รับผิดชอบดูแลบุตรหลานที่เป็นวัยรุ่นหญิงและกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา (ม.1 - ม.3) แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มๆละ 13 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจตามแนวคิดของ Gibson (1995) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ทัศนคติต่อการสื่อสารเรื่องเพศ ความสะดวกใจในการสื่อสารเรื่องเพศ และทักษะการสื่อสารเรื่องเพศ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ Fisher’s exact test, Dependent t-test และ Independent t-test ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มทดลองมีผลต่างของคะแนนเฉลี่ยทัศนคติเชิงบวกต่อการสื่อสาร ความสะดวกใจในการสื่อสารเรื่องเพศและทักษะการสื่อสารเรื่องเพศสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 (t= 11.594, p&lt;.001;&nbsp; t =2.356, p&lt;.001; t= 8.422, p&lt;.001 ตามลำดับ) ผลการศึกษาจะเป็นประโยชน์แก่บุคลากรสาธารณสุข ครู และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างเสริมศักยภาพในการสื่อสารเรื่องเพศในผู้ปกครองอันจะนำไปสู่การป้องกันปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรในวัยรุ่นหญิงต่อไป&nbsp; This study aimed to evaluate the impact of an empowerment program on guardians’ attitudes towards sexual communication, their comfort in discussing sexual matters, and their sexual communication practices. The sample consisted of female guardians, aged 35-50, who were responsible for female adolescents attending secondary school (M.1-M.3). The participants were divided into an experimental group and a comparison group, with 13 individuals in each group. The experimental group participated in an empowerment program based on Gibson’s (1995) concept. Data were collected through questionnaires that assessed demographic information, attitudes towards sexual communication, comfort with communication, and sexual communication skills. Statistical analyses included descriptive statistics, Fisher’s exact test, dependent t-test, and independent t-test. The results indicated that the experimental group demonstrated significantly higher mean scores in attitudes towards sexual communication, comfort in communication, and sexual communication skills compared to the comparison group, with all differences being statistically significant at the .05 level (t = 11.594, p &lt; .001; t = 2.356, p &lt; .001; t = 8.422, p &lt; .001, respectively).These findings suggest that the empowerment program effectively enhances the sexual communication abilities of guardians, which can play a crucial role in preventing premature sexual activities among female adolescents. The study’s results are valuable for healthcare professionals, teachers, and other stakeholders involved in adolescent health promotion.</p> ศิรประภา มุงบัง พรนภา หอมสินธุ์ รุ่งรัตน์ ศรีสุริยเวศน์ Copyright (c) 2024 2024-07-23 2024-07-23 32 2 1 15 ผลของการเตรียมความพร้อมการฝึกปฏิบัติแบบออนไลน์ต่อความรู้และความพร้อมในการฝึกภาคปฏิบัติ สำหรับนักศึกษาพยาบาล https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing/article/view/10097 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเตรียมความพร้อมการฝึกปฏิบัติแบบออนไลน์ต่อความรู้และความพร้อมในการฝึกภาคปฏิบัติ สำหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์โดยใช้แนวคิด DLCPA มีกลยุทธ์การเรียนรู้แบบผสมผสาน 5 องค์ประกอบ โดยการประยุกต์ใช้ในกิจกรรมการเตรียมความพร้อมในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลแบบออนไลน์ ช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้แก่ 1) การค้นพบ (discover) โดยเรียนรู้ด้วยตนเองบนโลกออนไลน์ 2) การเรียนรู้ (learn)&nbsp; การเรียนรู้ (learn) จากบรรยายแบบมีส่วนร่วมโดยครูบนแพลตฟอร์ม Google Meet 3) การฝึกปฏิบัติ (practice) โดยการวิเคราะห์กรณีศึกษาและฝึกใช้กระบวนการพยาบาล 4) การร่วมมือ (collaborate) โดยการอภิปราย แลกเปลี่ยนระหว่างเรียน ร่วมวิเคราะห์กรณีศึกษา และ 5) การประเมิน (assess) โดยการประเมินความพร้อมตนเอง สอบก่อนหลังเรียน ผลการศึกษา พบว่า หลังการเข้าร่วมการเตรียมความพร้อมในการฝึกปฏิบัติแบบออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้และความพร้อมในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ใหญ่ การพยาบาลผู้สูงอายุ และการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น สูงกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมการเตรียมความพร้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p &lt; .001 จากผลการศึกษา มีข้อเสนอแนะว่า ควรนำโปรแกรมการเตรียมความพร้อมในการฝึกปฏิบัติแบบออนไลน์ ที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบ DLPCA ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนทางการพยาบาลในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 หรือโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ได้&nbsp; This quasi-experimental study, utilizing a one-group pre-test post-test design, aimed to examine the effects of online learning on knowledge and readiness for nursing practicum among nursing students. The study employed the DLCPA conceptual framework, which integrates five blended learning strategies, adapted for online preparation during the COVID-19 pandemic. The strategies included: (1) discovery through online self-directed learning and participation on Google Meet, (2) self-directed learning via Thai MOOC programs and instructional videos, (3) practical application through case study analysis and the nursing process, (4) collaboration through discussions and idea exchanges, and (5) assessment via pre- and post-learning evaluations. The sample comprised 99 second-year nursing students. The results indicated that the mean scores for knowledge in adult nursing care, child and adolescent nursing care, and aging nursing care, as well as the perceived readiness for nursing practicum, were significantly higher post-intervention compared to pre-intervention (p &lt; .001). These findings suggest that incorporating online learning experiences based on the DLCPA model effectively enhances nursing students’ knowledge and preparedness for clinical practice during the COVID-19 pandemic. It is recommended that educators adopt these online learning strategies to boost students’ confidence and competency in providing nursing care in a hospital setting.</p> อรนุช ประดับทอง ธิดารัตน์ คณึงเพียร สุขุมาล แสนพวง Copyright (c) 2024 2024-07-23 2024-07-23 32 2 16 27 ผลของโปรแกรมการฝึกสติแบบสั้นต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและ การควบคุมระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing/article/view/10098 <p>การวิจัยกึ่งทดลองชนิดกลุ่มเดียวเปรียบเทียบก่อนหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการฝึกสติแบบสั้นต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและการควบคุมระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในคลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลท่าศาลา จำนวน 30 คน เกณฑ์การคัดเข้า คือ อายุ 20-59 ปี ระดับความดันโลหิตอยู่ระหว่าง 140/90-180/99 มม.ปรอท ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา และได้รับยาเพื่อควบคุมความดันโลหิตอย่างน้อย 1 ชนิด เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ โปรแกรมการฝึกสติแบบสั้น แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันและเสริมสร้างสุขภาพโรคความดันโลหิตสูง มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง .67 - 1.00 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค .83 โปรแกรมมีแผนกิจกรรม 5 ครั้ง ระยะ เวลาในจัดกิจกรรม 6 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบทีแบบจับคู่ ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงภายหลังได้รับโปรแกรมการฝึกสมาธิแบบสั้น มีคะแนนเฉลี่ยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (3.18±0.68, p &lt; .001) ค่าเฉลี่ยความดันซิสโตลิก (149.80±7.62 และ 128.20±4.10 ตามลำดับ p &lt; .001) และค่าเฉลี่ยความดันไดแอสโตลิก (90.47±4.04 และ 78.43±2.96, p &lt; .001) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยเสนอแนะว่าควรนำโปรแกรมการฝึกสติแบบสั้นไปใช้ในการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดูแลตนเองและควรฝึกอย่างต่อเนื่องและเพื่อควบคุมระดับความดันโลหิตในกลุ่มผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอันจะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดูแลตามมาตรฐานของโรงพยาบาล&nbsp; This quasi-experimental single-group study aimed to assess the impact of a brief mindfulness training program on health behavior modification and blood pressure control among hypertensive patients. The study included 30 hypertensive patients from the chronic disease clinic at Thasala Hospital, aged 20 to 59 years, with blood pressure readings between 140/90 and 180/99 mmHg over the past six months, and who were on at least one type of blood pressure medication. The intervention consisted of a six-week mindfulness training program comprising five activity plans. The evaluation tools included a behavioral questionnaire for health promotion and prevention among hypertensive individuals, demonstrating content validity (0.67 to 1.00) and a Cronbach’s alpha coefficient of 0.83. Data analysis was conducted using descriptive statistics and paired t-test. The results indicated that participants who completed the mindfulness training program showed a statistically significant improvement in health behavior modification scores (3.18 ± 0.68, p &lt; .001). Additionally, there was a significant reduction in mean systolic blood pressure (from 149.80 ± 7.62 to 128.20 ± 4.10, p &lt; .001) and mean diastolic blood pressure (from 90.47 ± 4.04 to 78.43 ± 2.96, p &lt; .001). These findings suggest that a brief mindfulness training program effectively promotes positive health behavior changes and aids in the control of blood pressure among hypertensive patients. Continuous practice and implementation of such programs are recommended to achieve optimal care standards in healthcare settings.</p> จิราพร ชาญณรงค์ ดลปภัฎ ทรงเลิศ Copyright (c) 2024 2024-07-23 2024-07-23 32 2 28 40 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของนิสิตพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing/article/view/10099 <p>การศึกษาเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของนิสิตพยาบาลชั้นปี 1-4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จำนวน 240 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บข้อมูลใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม มีค่าดัชนีความสอดคล้องความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกลุ่มอาการออฟฟิตซินโดรม มีค่า 0.82-1.00 และพฤติกรรมการป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิตซินโดรม มีค่า 0.75-1.00 และค่าความเชื่อมั่นมีค่าเท่ากับ .93 และ .82 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่าระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 157.60, SD = 21.08) พฤติกรรมการป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของนิสิตพยาบาล อยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 34.14, SD = 4.20) คิดเป็นร้อยละ 76.25 และความรอบรู้เกี่ยวกับกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับปานกลางกับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม (r= .484, p=.026) จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่าควรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมในด้านการจัดการตนเอง ทักษะการตัดสินใจ และทักษะการสื่อสารเพื่อป้องกันในการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมในนิสิตพยาบาล&nbsp; This descriptive correlational research aimed to: 1) assess the level of health literacy and office syndrome preventive behaviors, and 2) examine the correlation between health literacy and office syndrome preventive behaviors among nursing students. The study involved 240 nursing students from the 1st to 4th year at the Faculty of Nursing, Naresuan University, recruited through simple random sampling. Data were collected using questionnaires covering demographic data, health literacy related to office syndrome, and office syndrome preventive behaviors. The indices of item-objective congruence were 0.82-1.00 for health literacy and 0.75-1.00 for preventive behaviors, with Cronbach’s alpha coefficients of .93 and .82, respectively. Data analysis was performed using descriptive statistics and Pearson's correlation. The results revealed that a significant proportion of the sample (76.25%) displayed a moderate level of health literacy (Mean = 157.60, SD = 21.08) and office syndrome preventive behaviors (Mean = 34.14, SD = 4.20). Health literacy was found to have a moderate positive correlation with office syndrome preventive behaviors (r = .484, p = .026). These findings suggest that efforts should be made to enhance health literacy among nursing students, focusing on self-management, decision-making, and communication skills to prevent the incidence of office syndrome.</p> จณิสตา แก้วมิตร แสนสุรีพร ทรงมีโชติ สุมณฑา ชากลาง สุธีมา มีชื่อ วิไลลักษณ์ ชัยชนะ มนธิชา จรัสดาราแสง ปิยากร เศษสมบูรณ์ เบญจรัตน์ แซ่หลอ แสงเดือน อภิรัตนวงศ์ Copyright (c) 2024 2024-07-23 2024-07-23 32 2 41 51 ผลการใช้กิจกรรมจิตตปัญญาศึกษาเพื่อลดความเครียด และส่งเสริมการเผชิญปัญหาของนักศึกษาพยาบาล ในวิชาปฏิบัติหลักการและเทคนิคการพยาบาล https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing/article/view/10100 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้กิจกรรมจิตตปัญญาศึกษาเพื่อลดความเครียดและส่งเสริมการเผชิญปัญหาของนักศึกษาพยาบาล ในวิชาปฏิบัติหลักการและเทคนิคการพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง จำนวน 34 คน คัดเลือกตามเกณฑ์คัดเข้าและการสุ่มอย่างง่าย แบ่งเป็น 2 กลุ่มควบคุมได้รับการสอนตามปกติจำนวน 17 คน และกลุ่มทดลองได้รับกิจกรรมจิตตปัญญาศึกษาจำนวน 17 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความเครียดของกรมสุขภาพจิต มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .87 และแบบประเมินการเผชิญปัญหาในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลซึ่งพัฒนาโดยผู้วิจัย ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมิน มีค่า 0.67-1.00 และมีค่าความเที่ยงเท่ากับ .77 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติไคว์สแคว์ (Chi-square) และสถิติทีอิสระจากกัน (Independent t test) ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนค่าเฉลี่ยความเครียด (Mean = 42.35 ±10.16) น้อยกว่ากลุ่มควบคุม (Mean = 48.94 ± 6.39) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05&nbsp; (p=.03)&nbsp; และมีคะแนนค่าเฉลี่ยการเผชิญปัญหาในการฝึกปฏิบัติการพยาบาล (Mean = 67.82 ±5.16) มากกว่ากลุ่มควบคุม (Mean = 48.64± 6.37) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p &lt; .001)&nbsp; แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมจิตตปัญญาสามารถลดความเครียดและส่งเสริมการเผชิญปัญหาในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลได้&nbsp; ดังนั้นอาจารย์ควรนำกิจกรรมจิตตปัญญาไปใช้เพื่อให้นักศึกษาผ่อนคลายความเครียดและส่งเสริมทักษะการเผชิญปัญหาในการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ&nbsp; This quasi-experimental research aimed to examine the effects of contemplative activities on stress reduction and the enhancement of coping skills among nursing students enrolled&nbsp; in a practical course on nursing principles and techniques. The study involved thirty-four&nbsp; sophomore nursing students, divided into a control group and an experimental group, each&nbsp; consisting of 17 students. The control group received regular teaching methods, while the experimental group engaged in contemplative activities in addition to the regular curriculum. Data were collected using the stress assessment form from the Department of Mental Health, with a reliability coefficient of .87, and a coping assessment form developed by the&nbsp; researcher, with a reliability coefficient of .77. The content validity of the assessments ranged from 0.67 to 1.00. Data analysis was conducted using descriptive statistics, Chi-square tests, and independent t-tests. The results indicated that the experimental group had a significantly lower mean stress score (Mean = 42.35 ± 10.16) compared to the control group (Mean = 48.94 ± 6.39) at the 0.05 significance level (p = .03). Additionally, the experimental group exhibited a significantly higher mean score for problem-solving during nursing practice (Mean = 67.82 ± 5.16) compared to the control group (Mean = 48.64 ± 6.37) at the 0.05 significance level (p &lt; .001). These findings suggest that incorporating contemplative activities can effectively reduce stress and promote coping skills during clinical practice for nursing students. Therefore, instructors are encouraged to integrate contemplative activities into their teaching strategies to help students manage stress and enhance their problem-solving abilities in practical training.</p> สุวรรณี สร้อยสงค์ สุภาณี คลังฤทธิ์ ปิยพงศ์ สอนลบ จินดาวรรณ เงารัศมี นันทวรรณ ธีรพงศ์ ขวัญสุวีย์ อภิจันทรเมธากุล Copyright (c) 2024 2024-07-23 2024-07-23 32 2 52 65 การพัฒนารูปแบบกระบวนการดูแลผู้ป่วยเอชไอวีแบบครบวงจรของโรงพยาบาลแม่ลาว สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing/article/view/10101 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบกระบวนการดูแลผู้ป่วยเอชไอวีแบบครบวงจร ของโรงพยาบาลแม่ลาวฯ กำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ได้แก่ พยาบาลผู้ปฏิบัติงานด้านเอชไอวี 36 คน และผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ขึ้นทะเบียนรักษาตัวในโรงพยาบาลแม่ลาว 335 คน เครื่องมือที่ใช้ รูปแบบกระบวนการดูแลผู้ป่วยเอชไอวีฯ พื้นที่วิจัยอำเภอแม่ลาว ดำเนินการทดลองใช้รูปแบบ 3 เดือน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ สรุปและบรรยาย ผลการวิจัย พบว่า พยาบาลผู้ปฏิบัติงานฯ มีความคิดเห็นต่อกระบวนการดูแลผู้ป่วยเอชไอวีฯ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก (M 4.53) โดยมีด้าน Reach มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดค่าเฉลี่ยสูงสุด (M = 4.78) และผลการใช้รูปแบบฯ พบว่า เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ติดเชื้อทุกคนได้รับการวินิจฉัยและได้รับยาต้าน ผู้รับบริการมีความ พึงพอใจมีต่อรูปแบบฯ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (M = 3.98) ด้าน Test มีค่าเฉลี่ยระดับมาก ค่าเฉลี่ยสูงสุด (M = 4.25) ผลการพัฒนารูปแบบได้รูปแบบใหม่ในลักษณะการบูรณาการงานแต่ละด้านร่วมกัน คือ&nbsp; Reach และ ด้าน Recruit ด้าน Test และด้าน Treat และด้าน Retain นำเอากระบวนการ PDCA เข้ามาบูรณาการในขั้นทดลองใช้รูปแบบฯ สรุปการทดลองใช้รูปแบบฯ ครั้งนี้สามารถนำมาเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินงานดูแลผู้ป่วยเอชไอวี ของโรงพยาบาลแม่ลาวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น&nbsp; This research aimed to develop a comprehensive model for the care process for HIV patients at Mae Lao Hospital. The Define specific target groups included 36 HIV nurse practitioners and 335 patients with HIV treated at Mae Lao Hospital. 335 people infected with HIV who are registered for treatment in Mae Lao Hospital. Research Instrument is a process model for caring for HIV patients. The Research Area is Mae Lao District. The experiment was conducted for three months. Data analysis used average values, standard deviation, analysis, summary, and description. The results were that nurses had opinions on caring for HIV patients in all aspects at a high level (M 4.53), with the following elements Reach has the highest average level (M = 4.78), and the results of using the model were smooth. All infected patients were diagnosed and received antivirals. The service recipient was Satisfied with the format overall it was at a high level (M = 3.98). The test side had a high-level average with the highest average (M = 4.25). The result of developing the model is developing a new format in the form of integrating each aspect of work, namely Reach and Recruit, Test, Treat, and Retain, bringing the PDCA process into integration in the trial phase of the model. In summary, of the experiment the model this time can be used as a practice guideline for caring for HIV patients of Mae Lao Hospital to be even more efficient.</p> กฤติกา ชนประชา วราลักษ์ รัตนธรรม Copyright (c) 2024 2024-07-23 2024-07-23 32 2 66 79 ความคิดเห็นของนักศึกษาพยาบาลต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing/article/view/10102 <p>การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานเป็นวิธีการสอนเชิงรุกวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมทักษะศตวรรษที่ 21 การวิจัยในชั้นเรียนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน ผู้ให้ข้อมูลเป็นนักศึกษาพยาบาล จำนวน 14 คนที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการวิจัยและสารสนเทศทางการพยาบาลที่จัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน มีระดับความสามารถทางการเรียนอยู่ในกลุ่มต่ำ กลุ่มกลางและกลุ่มสูง เครื่องมือวิจัย คือ ผู้วิจัย และแนวคำถามแบบกึ่งโครงสร้างที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเองและผ่านการทดลองใช้และปรับคำถามให้เหมาะสม ดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคคล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา และยืนยันคุณภาพของข้อมูลด้วยวิธีการตรวบสอบข้อมูลสามเส้า ผลการวิจัยพบประเด็นที่สำคัญ 3 ประเด็นคือ 1) ประเด็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น สามารถแบ่งเป็น 3 ระยะคือ ระยะก่อนทำโครงงาน ประกอบด้วย ความกังวล และความกลัว ระยะทำโครงงาน ประกอบด้วย ความสุข ความสนใจและบรรยากาศของความช่วยเหลือ และระยะสิ้นสุดโครงงาน ประกอบด้วย ความภาคภูมิใจ ดีใจ และรู้สึกสนุก 2) ประเด็นความคิดเห็นต่อการสอน ประกอบด้วย ความคิดเห็นต่อการเรียนทฤษฎีก่อนฝึกปฏิบัติ ความคิดเห็นต่อจำนวนสมาชิก ความคิดเห็นต่อการจัดกลุ่ม และความคิดเห็นต่อการจัดตารางเรียน และ 3) ประเด็นแนวทางในการพัฒนาการสอน ประกอบด้วย เพิ่มจำนวนสมาชิก การจัดกลุ่มและจัดตารางเรียนที่เหมาะสม ข้อค้นพบนี้เสนอให้อาจารย์พยาบาลใช้ผลวิจัยนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน&nbsp; Project-based learning is an active instructional technique that enhances twenty-first-century skills among learners. This classroom research aimed to study nursing students' opinions on project-based instruction. The participants included 14 nursing students enrolled in a Research and Nursing Informatics course that employed project-based learning. The students were categorized into low, medium, and high groups based on their learning abilities. Research instruments were the researcher and the semi-structured questions, Semi-structured questions developed by the researcher were tried out and adjusted for appropriateness. Data were collected through in-depth interviews and analyzed using content analysis. The findings revealed three significant themes: 1) Emergence of feelings, identified in three stages: pre-project stage (anxiety and fear), project stage (happiness, interest, supportive climate), and post-project stage (pride, happiness, and joy); 2) Opinions on project-based instruction, including learning theories before practice, group size, group formation, and class schedule; and 3) Suggestions for improving project-based instruction, such as increasing group size, optimizing group formation, and adjusting the learning schedule. The summary of findings suggests that nurse educators can use these insights to enhance project-based instruction.</p> สหัทยา รัตนจรณะ Copyright (c) 2024 2024-07-23 2024-07-23 32 2 80 91 การพัฒนารูปแบบการดูแลก่อนกลับเข้าทำงานภายหลังการเจ็บป่วย ของบุคลากรทางการแพทย์ สถาบันราชประชาสมาสัย https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing/article/view/10103 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาการดูแลก่อนกลับเข้าทำงานภายหลังการเจ็บป่วยของบุคลากรทางการแพทย์ สถาบันราชประชาสมาสัย 2) พัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการดูแลก่อนกลับเข้าทำงานภายหลังการเจ็บป่วยฯ 3) ประเมินผลเบื้องต้นรูปแบบที่พัฒนาขึ้น เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มี 4 ระยะ คือระยะที่ 1 ทำความเข้าใจปัญหารูปแบบการดูแลสุขภาพบุคลากรทางการแพทย์ ของสถาบันราชประชาสมาสัย ระยะที่ 2 ปฏิบัติการร่างรูปแบบฯ ระยะที่ 3 ทดลองใช้ร่างรูปแบบฯ ระยะที่ 4 ประเมินผลการปฏิบัติตามรูปแบบฯ ประชากรเป้าหมายการพัฒนา คือ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ พยาบาลอาชีวอนามัย สหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง และบุคลากรทางการแพทย์ที่เจ็บป่วยตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป รวม 16 คน พื้นที่วิจัยคือสถาบันราชประชาสมาสัย ใช้แบบสนทนากลุ่ม แบบสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม แบบคัดลอกข้อมูลเป็นเครื่องมือ เก็บรวบรวมข้อมูลเดือนตุลาคม 2566– กุมภาพันธ์ 2567 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า (1) รูปแบบการดูแลก่อนกลับเข้าทำงานฯ ประกอบด้วย R –MOPH (2) สหสาขาวิชาชีพและบุคลากรทางการแพทย์ที่เจ็บป่วยฯ ให้การยอมรับรู้และพึงพอใจรวมระดับมากที่สุด (3) บุคลากรที่เจ็บป่วยได้รับการดูแลก่อนกลับเข้าทำงานภายหลังการเจ็บป่วย และสามารถกลับเข้าทำงานได้อย่างปลอดภัย ร้อยละ 100 ผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้นยังมีข้อจำกัดที่เป็นการดูแลแบบภาพรวม จึงมีข้อเสนอแนะว่า ควรนำรูปแบบไปปรับใช้ให้เหมาะสมตามบริบทของกลุ่มโรค&nbsp; The objective of this study was to: 1) assess the current conditions and issues related to the care of medical personnel at Rajpracha Samasai Institute before returning to work after illness; 2) draft, test, and refine a care model for this purpose within the context of the institute; and 3) evaluate the preliminary outcomes of the developed model. The study employed an action research model with four phases: Phase 1 involved a situational analysis of the healthcare management system for healthcare workers; Phase 2 focused on designing and developing the model; Phase 3 was the implementation phase; and Phase 4 evaluated the model. The target population included 16 occupational medicine physicians, occupational health nurses, and other multidisciplinary healthcare personnel who had been ill for three days or more. Data were collected from September 2023 to February 2024 at Rajpracha Samasai Institute, Department of Disease Control, Ministry of Public Health, Thailand, using group discussions, non-participant observations, and data record forms. Quantitative data were analyzed using descriptive statistics, including percentages, means, and standard deviations, while qualitative data were analyzed using content analysis. The research findings revealed that: 1) the healthcare management model before returning to work after illness was structured around the R-MOPH framework; 2) the multidisciplinary and medical personnel who were sick reported high acceptance and satisfaction with the model; and 3) all personnel who received health assessments before returning to work were able to do so safely, with a 100% success rate. Based on these findings, it is recommended that this patient care model consider the limitations of holistic care and the specific contexts of different illness groups.</p> เดือนเพ็ญ บุญเปรม ณัฐกาญจน์ แก้วประดับ เอื้อมพร พูนกล้า สุกัญญา เที่ยงคำดี วรชาติ ถัดหลาย Copyright (c) 2024 2024-07-23 2024-07-23 32 2 92 103 การวิเคราะห์การประกอบการคลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่นด้วยแบบจำลองธุรกิจ Canvas https://ojs.lib.buu.ac.th/index.php/nursing/article/view/10104 <p>คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่นเป็นสถานบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิที่ให้บริการ โดยไม่เรียกเก็บค่าบริการประชาชนคนไทยที่มีบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่นให้บริการตามกฎหมายวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ขอบเขตและกิจกรรมที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนดไว้ โดยครอบคลุมการให้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค การให้บริการพยาบาลพื้นฐาน การบริการดูแลสุภาพที่บ้าน การรักษาโรคเบื้องต้น และเวชภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการพยาบาล นอกจากพยาบาลผู้ประกอบการต้องใช้ความรู้และทักษะทางการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ยังต้องมีความรู้และความเข้าใจในการประกอบการและการบริหารธุรกิจร่วมด้วย แบบจำลองธุรกิจ Canvas (The Business Model Canvas) เป็นแนวคิดการออกแบบ วางแผน และดำเนินธุรกิจที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงขององค์ประกอบทางธุรกิจและมีความเข้าใจในทิศทางเดียวกันและสามารถใช้ในการวิเคราะห์เพื่อปรับกลยุทธ์ต่อยอดให้กับกิจการได้ และเพื่อให้พยาบาลวิชาชีพที่สนใจในการเป็นผู้ประกอบการคลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่นรายใหม่มองเห็นภาพการประกอบการมากยิ่งขึ้น จึงขอเสนอแบบจำลองธุรกิจ Canvas มาใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบ และวางแผนภาพการประกอบการคลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น และสามารถอธิบายองค์ประกอบที่สำคัญทางกลยุทธ์ในการประกอบการคลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่นให้สามารถดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้&nbsp; The Aob Aoon Community Nursing Clinic is a health service center providing free-of-charge services to Thai citizens with a Universal Coverage Scheme within the national health insurance system. The clinic operates by nursing and midwifery care professional laws, adhering to the boundaries and activities outlined by the National Health Security Office, the services offered cover Health Promotion and Prevention, Fundamental Nursing Care, Home Health Care Services, Primary Medical Care, and Dispensing related to Nursing Care. Nurse entrepreneurs must possess nursing and midwifery knowledge and skills, as well as an understanding of business operations and management. The Business Model Canvas is a design, planning, and business execution concept that enables entrepreneurs to see the overall picture and connections of business components, facilitating strategic analysis for business enhancement. To provide aspiring nurses interested in becoming entrepreneurs of an Aob Aoon Community Nursing Clinic with a clearer view of business operations, a Business Model Canvas is proposed as a tool for designing, planning, and illustrating the business model of an Aob Aoon Community Nursing Clinic. It can explain the key strategic components necessary for the successful operation of an Aob Aoon Community Nursing Clinic and aid in achieving business success.</p> นครินทร์ เชื่อนิจ ชวภณ สารข้าวคำ อารีย์วรรณ อ่วมตานี Copyright (c) 2024 2024-07-23 2024-07-23 32 2 104 114