การสังเคราะห์งานวิจัยที่ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน : การวิเคราะห์เอ็มเอเอสอีเอ็ม

Authors

  • ชลกร ชุ่มกลาง
  • สมพงษ์ ปั้นหุ่น
  • อานนท์ ไชยสุริยา
  • สุรีพร อนุศาสนนันท์

Keywords:

การสังเคราะห์งานวิจัย, MASEM, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, ภาษาอังกฤษ

Abstract

        การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการวิจัยและอิทธิพลส่งผ่านโมเดลสมการโครงสร้างปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ความแตกต่างของดัชนีมาตรฐานตามคุณลักษณะงานวิจัยและตรวจสอบความตรงของโมเดล งานวิจัยที่นำมาสังเคราะห์พิมพ์เผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ.2550 - 2558 จากมหาวิทยาลัย 31 แห่ง จำนวน 99 เล่ม เป็นงานวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ 23 เล่ม และงานวิจัยเชิงทดลอง 76 เล่ม ได้ค่าดัชนีมาตรฐานรวมทั้งหมด 365 ค่า ใช้การวิเคราะห์อภิมาน และตรวจสอบความตรงของโมเดลด้วยโปรแกรมลิสเรล ผลการวิจัยเป็นดังต่อไปนี้ 1) ผลการวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า 1.1) ค่าดัชนีมาตรฐานเฉลี่ยของงานวิจัยเชิงสหสัมพันธ์มีค่าเท่ากับ .401 และงานวิจัยเชิงทดลองมีค่าเท่ากับ .978 1.2) ตัวแปรคุณลักษณะงานวิจัยที่ทำให้ดัชนีมาตรฐานแตกต่างกันในงานวิจัยเชิงสหสัมพันธ์มีจานวน 9 ตัวแปร และงานวิจัยเชิงทดลองจำนวน 8 ตัว และ 1.3) ผลการวิเคราะห์พหุระดับพบว่า ความแปรปรวนของค่าดัชนีมาตรฐานเกิดจากภายในเล่มมากกว่าระหว่างเล่ม โดยภายในเล่มเท่ากับ .054 และความแปรปรวนระหว่างเล่ม เท่ากับ .026 และอธิบายความแปรปรวนค่าดัชนีมาตรฐานได้ร้อยละ 28.75 2) โมเดลสมการโครงสร้างปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (X2 = 17.65, df = 13, p = .17139, GFI = 1.00, AGFI = 1.00, RMSEA = .012, SRMR = .058) โดยมีขนาดอิทธิพลรวมตามลำดับคือ กลยุทธ์การสอนและพฤติกรรมครู (.99) คุณลักษณะของนักเรียน (-.84) การสนับสนุนทางการเรียน (.56) และกลยุทธ์ทางการเรียนที่มีประสิทธิภาพของนักเรียน (.32) ตัวแปรทั้งโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนปัจจัยที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษได้ร้อยละ 48           This study aimed (1) to examine research reports and the difference of the standard indices according to research characteristics and (2) to study path effects in the structural equation model and validate the models. The sample were 99 research reports of which 23 were correlation research reports and 76 were experimental research reports, published during 2007 to 2015 by 31 universities. The research results comprised totaling 365 standard indices. The quantitative data using meta-analysis, and the model was validated using LISREL. The results are as follows: 1) The results showed that (1.1) the standard index of correlational efficient value was .401 and the mean of effect size was .978; (1.2) The research characteristics that reports to be different in a correlational research were 9 variables and 8 variables in the experimental research reports, and (1.3) The results of multilevel analysis found that standard indices within the report (.054) was higher than between the reports (.026) which indicated that research characteristics could 28.75% account for the standard indices of variance. 2) The result of the analysis of model fit of the structural equation model of variables that influenced the English achievement fitted very well level with the empirical data (X2 = 17.65, df = 13, p = .17139, GFI=1.00, AGFI = 1.00, RMSEA = .012, SRMR = .058), thus total influence orderr: teaching strategies and teacher behaviors (.99), students’ characters (-.94), learning support (.56), and students’ learning strategies (.32), respectively. The variables in the whole model could 48% account for the variance of English learning.

Downloads